โลกของเรานั้น เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ตั้งแต่ยอดเขาหิมะที่สูงตระหง่านในเทือกเขาหิมาลัย ไปจนถึงความหนาวเหน็บขั้วโลกในอาร์กติก (Arctic) และความร้อนระอุในทะเลทรายซาฮารา (Sahara) แต่ท่ามกลางความลากหลายของอุณหภูมิบนดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้มีสถานที่บางแห่งที่ท้าทายขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิต ด้้วยความร้อนที่แทบจะหลอมละลายทุกสิ่ง ในขณะที่มหุษย์เราพยายามต่อสู้กับภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน มีดินแดนบางแห่งที่ความร้อนไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นความท้าทายที่ผู้คนต้องเผชิญในทุกลมหายใจ และ สถานที่ที่ร้อนมากๆในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจะมีที่ไหนกันบ้าง มาดูกัน
1.เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ริมฝั่งทะเลแดง ในประเทศซาอุดีอาระเบีย มีเมืองท่าโบราณที่เป็นประตูสู่นครเมกกะ นครศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมทั่วโลก เป็นบ้านของผู้คนกว่า 4.6 ล้านชีวิต ที่ต้องเผเชิญกับความท้าทายของสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ในวันที่ 22 มิถุนายน 2010 เมืองเจดดาห์ได้จารึกชื่อตัวเองในประวัติศาสตร์ ด้วยการบันทึกอุณหภูมิสูงสุดถึง 52 องศาเซลเซียส ทำลายสถิติของเมืองอัล-อาชา ที่วัดได้ 51 องศาเซลเซียสเพียงสามวันก่อนหน้า ควาร้อนระดับนี้ไม่เพียงแต่ท้าทายขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์แต่ยังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ชาวเมืองเจดดาห์ต้องปรับตัวด้วยการพลิกกลับวิถีชีวิตปกติ กิจกรรมส่วนใหญ่จะเริ่มในยามค่ำคืน เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ตลาดกลางคืนจะคึกคักด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย ทุกๆอย่างได้ทุกปรับเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนที่เกิดขึ้น

2.เม็กซิคาลี ประเทศเม็กซิโก
ในหุบเขาทางตอนเหนือของรัฐบาฆา แคลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก มีเมืองที่ได้รับฉายาว่า เมืองที่จับดวงอาทิตย์ไว้ได้ ฉายานี้ไม่ใช่เพียงคำกล่าวที่เกินจริง เมื่อเม็กซิคาลีบันทึกอุณหภูมิสูงสุกถึง 52 องศาเซลเซียส ในวันที่ 28 กรกฎาคม 1995 สถิติที่ทำให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งสถานที่ที่ร้อนที่สุดในโลก เม็กซิคาลีเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการที่มนุษย์ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศสุดขั้ว ในฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยพุ่งสูงถึง 42.2 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ในฤดูหนาว อุณหภูมิกลับดิ่งลงต่ำถึงติดลบ 7 องศา การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่รุนแรงนี้ ส่งผลให่การออกแบบบ้านเรือน และระบบสาธารณูปโภคต้องคำนึงถึงทั้งความร้อนและความเย็นจัด เมืองนี้เติบโตขึ้นจากชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆ กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญด้วยความที่ตั้งอยู่ชายแดนสหรัฐอเมริกาทำให้มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากย้ายเข้ามาตั้งฐานการผลิต ผู้คนต้องทำงานท่ามกลางความร้อนระอุ และใระหว่างนี้ประเทศเม็กซิโก ได้มีการควบคลุมความร้อนเหล่านี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

3.เคบิลี ประเทศตูนิเซีย
เมืองเคบิลีเป็นเมืองทางตอนใต้ของประเทศตูนิเซีย และเป็นหนึ่งในโอเอซิสที่เก่าแก่ที่สุดในแอฟริกาเหนือ เมืองนี้เป็นแหล่งที่พบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในตูนิเซีย ซึ่งมีอายุกว่า 200,000 ปี อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่เมืองนี้เก็บรักษาไว้ เนื่องจากตามข้อมูลขององค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก เมืองเคบิลีมีอุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในแอฟริกา แม้ว่าอุณหภูมิที่บันทึกไว้ในปี 1931 ที่ 55 องศาเซลเซียส หรือ 131 องศาฟาเรนไฮต์ จะเป็นที่ถกเถียงกัน แต่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิมักจะสูงถึง 40.9 องศาเซลเซียส (105.7 องศาฟาเรนไฮต์) และอุณหภูมิแทบจะไม่ลดลงต่ำกว่า 25.5 องศาเซลเซียส (77.9 องศาฟาเรนไฮต์) ในตอนกลางคืน โชคดีที่เมืองนี้มีต้นปาล์มมากมายให้ร่มเงา!

4.ภูเขาเพลิง ประเทศจีน
ภูเขาไฟเป็นเนินเขาหินทรายที่แห้งแล้งในเขตปกครองตนเองซินเจียง ประเทศจีน พื้นที่แห่งนี้มีสภาพอากาศที่เลวร้าย และอุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมักจะสูงถึงหรือเกิน 50 °C (122 °F) ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดที่ร้อนที่สุดในจีน นอกจากนี้ รังสีจากหินยังทำให้สภาพอากาศร้อนขึ้นอีกด้วย ในปี 2008 อุณหภูมิผิวดินวัดได้จากดาวเทียมอยู่ที่ 66.8 °C (152.2 °F) แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม ปัจจุบัน ชาวจีนใช้ไม้ไผ่คลุมสิ่งของต่างๆ เช่น เตียงและเบาะรถยนต์เพื่อป้องกันความร้อน ในขณะที่ดื่มน้ำถั่วเขียว เพราะเชื่อกันว่าน้ำถั่วเขียวช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย

5.อุทยานแห่งชาติ เดธ วัลเลย์ สหรัฐอเมริกา
อุทยานแห่งชาติ เดธ วัลเลย์ (Death Valley) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ทำสถติเป็นพื้นที่ที่ร้อนที่สุดในโลก หลังจากการวัดอุณหภูมิเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 ส.ค.) ที่จุดที่เรียกว่า “เฟอร์เนซ ครีก” (Furnace Creek) พบว่าสูงถึง 54.4 องศาเซลเซียส ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกำลังตรวจสอบซ้ำว่าถูกต้องแม่นยำจริงหรือไม่ ซึ่งหากจริง นี่จะเป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่มีการเก็บข้อมูลอุณหภูมิ (ไม่นับอุณหภูมิพื้นผิวทะเลทรายบางแห่งซึ่งสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส) อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานเมื่อปี 1913 ว่า สามารถตรวจวัดอุณหภูมิที่ เดธ วัลเลย์ ได้สูงถึง 56.7 องศาเซลเซียส แต่ยังขาดหลักฐานสนับสนุน และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่แม่นยำของอุปกรณ์ในอดีต
