ธนาคารโลกได้เคยนิยามความยากจนขั้นรุนแรงเอาไว้ว่า คือกลุ่มคนที่มีรายได้ในแต่ละวันน้อยกว่า 1.90 ดอลลาร์ หรือเพียงแค่ 66 บาทเท่านั้น ซึ่งในปี 2542 คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลก ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในทวีปแอฟริกา ด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ทั้งปัญหาด้านภูมิศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ บางประเทศแม้จะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ แต่กลับมีสงครามกลางเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่น การรุกรานจากกลุ่มหัวรุนแรง ทำให้ ประเทศไม่ได้รับการพัฒนา ประชาชนอดอยากยากจน มาดู 10 อันดับประเทศยากจนที่สุดในโลก
5. ประเทศไลบีเรีย
รายได้เฉลี่ย 1788 ดอลลาร์หรือ 61,836 บาทต่อคนต่อปี ประเทศที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกามี ประธานาธิบดีชื่อจอร์จเวอาอดีตนักฟุตบอล ที่ไปค้าแข้งในทวีปยุโรปจนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลบัลลงตอร์ในปี 1995 รางวัลสูงสุดระดับโลกในฐานะนักฟุตบอลมืออาชีพ ก่อนขะแขวนสตั๊ดและกลับมาพัฒนาประเทศบ้านเกิดทำงานในเส้นทางการเมืองนานกว่า 10 ปีกว่าจะชนะการเลือกตั้งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในปี 1919 อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาภายในประเทศสั่งสมมานาน อาทีปัญหาคอรัปชั่นที่ส่งผลต่อสถานะ เศรษฐกิจของประเทศอาจต้องใช้เวลาและฝีมือที่ต่างออกไปจากการเล่นฟุตบอลที่เวอานั้น เคยประสบความสำเร็จมาก่อน

4. ประเทศชาด
ชาดมีรายได้เฉลี่ย 1787 ดอลลาร์หรือ 61,801 บาทต่อคนต่อปี ประเทศที่ตั้งอยู่ตอนกลางจองทวีปในเขตซาฮัลล์พื้นที่กึ่งแห้งแล้งใต้ทะเลทรายสะฮาราทอดตัวยาว 5,900 กิโลเมตรจากตะวันตกไปยังตะวันออกไม่มีทาง ออกสู้ทะเลแต่ก็ได้รับการชดเชยจากพระเจ้า ด้วยการเป็นประเทศที่มีน้ำมันมากที่สุด เป็นอันดับ 10 ของโลกแต่ทว่าประชากรก็ยัง อดอยากหิวโหยภายใต้การปกครองประเทศโดย Iris Baby ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มานานถึง 30 ปีแม้ในปี 2021 Iris Baby จะเสียชีวิตลงในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ต่อต้านที่พยายามทำรัฐประหารแต่ลูกชายของเขา นายพล Mahamat Idriss ก็ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อจากผู้เป็นพ่อ

3. ประเทศมาลาวี
มาลาวีมีรายได้เฉลี่ย 1,712 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 58,333.44 บาทต่อปี และราว 4,861.12 บาทต่อเดือน มาลาวี หนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดในแอฟริกา มีเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาพืชผลที่อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากสภาพอากาศ ความไม่มั่นคงทางอาหารในพื้นที่ชนบทอยู่ในระดับสูงมากมาลาวีมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพนับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรในปี 1964 อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 ศาลรัฐธรรมนูญได้ประกาศให้การเลือกตั้งทั่วไปของอดีตประธานาธิบดี Peter Mutharika เป็นโมฆะ โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้ง Lazarus Chakwera นักเทววิทยาและนักการเมืองซึ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งแทน ประกาศว่าเขาต้องการที่จะให้ความเป็นผู้นำแบบที่ทำให้ทุกคนเจริญรุ่งเรือง แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกลับเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ปัจจุบัน มาลาวีกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่นำไปสู่การขาดแคลนเชื้อเพลิง ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น และค่าเงินลดลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2023 ตามข้อมูลของธนาคารโลก ประมาณว่าประชากรมากกว่า 70% อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนระหว่างประเทศ

2. ประเทศไนเจอร์
ไนเจอร์มีรายได้เฉลี่ย 1,675 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 57,093.35 บาทต่อปี และราว 4,757.77 บาทต่อเดือน ด้วยพื้นที่ 80% ของประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลถูกปกคลุมด้วยทะเลทรายซาฮารา และประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต้องพึ่งพาการเกษตรขนาดเล็ก ไนเจอร์จึงตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามจากการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ความไม่มั่นคงทางอาหารอยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับอัตราการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต การปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าของกองทัพกับกลุ่มโบโกฮาราม ซึ่งเป็นพันธมิตรของรัฐอิสลาม ISIS) ทำให้มีผู้พลัดถิ่นหลายพันคนในปี 2021 ไนเจอร์ได้เปิดตัวประธานาธิบดีคนใหม่ คืออดีตครูและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย Mohamed Bazoum ซึ่งเป็นการถ่ายโอนอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกของประเทศ ด้วยเศรษฐกิจที่ขยายตัว 12% ในปี 2022 สถานการณ์ดูเหมือนจะสดใสขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูร้อนปี 2023 Bazoum ถูกขับไล่และถูกจำคุกโดยสมาชิกของหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีของเขาเอง คณะทหารยังคงอยู่ในอำนาจเรื่อยมา

1. ประเทศโมซัมบิก
โมซัมบิกมีรายได้เฉลี่ย 1,649 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 56,164.82 บาทต่อปี และราว 4,680.40 บาทต่อเดือน แม้จะเป็นอดีตอาณานิคมของโปรตุเกสที่อุดมไปด้วยทรัพยากรและตั้งอยู่ในทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ โมซัมบิกมักจะมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยมากกว่า 7% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงติดอยู่ในกลุ่มสิบประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยมีสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและความไม่มั่นคงทางการเมืองเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่ปี 2017 การโจมตีโดยกลุ่มก่อความไม่สงบอิสลามได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศซึ่งอุดมไปด้วยก๊าซ อย่างไรก็ตามตามข้อมูลของ IMF เศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 5% ในปี 2024 และ 2025 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็นเลขสองหลักในช่วงปลายทศวรรษ
