5 เรื่องราวในโบราณคดีแห่งปี ที่ถูกค้นพบ

หน้าแรก

ในรอบปี 2566 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป มีการค้นพบทางโบราณคดีอันน่าทึ่งมากมายเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพบเจอหลักฐานที่ทำให้เราต้องฉีกตำราประวัติศาสตร์ รวมทั้งเปิดเผยถึงความสามารถอันล้ำยุคล้ำสมัยเกินคาดของคนโบราณมากเป็นพิเศษในปีนี้ ซึ่งบีบีซีไทยรวบรวมมาให้ได้อ่านกันอย่างจุใจถึง 6 เรื่องด้วยกัน

“กุนุงปาดัง” คือพีระมิดเก่าแก่ที่สุดของโลกจริงหรือ

เหล่านักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณขั้นสูงที่สูญหาย ต้องมาถกเถียงกันอย่างดุเดือดในปีนี้ เพราะเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา วารสาร Archaeological Prospection ได้ตีพิมพ์เรื่องราวการค้นพบใหม่เกี่ยวกับเนินเขา “กุนุงปาดัง” (Gunung Padang) ในพื้นที่ทางตะวันตกของเกาะชวาของอินโดนีเซีย โดยยืนยันว่าแท้จริงแล้วเนินเขาแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นโครงสร้างของพีระมิดขั้นบันไดขนาดยักษ์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ทีมนักโบราณคดีจากสำนักวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติอินโดนีเซีย (BRIN) อ้างว่าหลักฐานจากการศึกษาวิเคราะห์ที่ยาวนานกว่าสิบปี และผลการตรวจหาอายุของดินและหินในโบราณสถานดังกล่าวด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี พบว่ากุนุงปาดังอาจถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อราว 16,000-27,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดของโลก (Last Glacial Period – LGP) ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างปริศนาแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นก่อนที่มนุษย์จะรู้จักเกษตรกรรม และก่อนกำเนิดแหล่งอารยธรรมแรกของโลกหลายพันปี แม้แต่มหาพีระมิดแห่งกิซาที่อียิปต์ และสโตนเฮนจ์ที่สหราชอาณาจักร ก็ยังมีอายุน้อยเพียง 1 ใน 5 ของกุนุงปาดังเท่านั้นการค้นพบน่าพิศวงนี้ทำให้คนที่เชื่อใน “สมมติฐานไซลูเรียน” (Silurian Hypothesis) พากันทึกทักว่า นี่คือหลักฐานของของอารยธรรมโบราณที่มีความเจริญรุ่งเรืองและก้าวล้ำทางเทคโนโลยียิ่งกว่ามนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งอารยธรรมที่สูงส่งนี้เคยครองโลกในยุคดึกดำบรรพ์เป็นเวลานานหลายล้านปี ก่อนการถือกำเนิดขึ้นของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีและนักธรณีวิทยาจำนวนมาก ตั้งคำถามถึงความถูกต้องในงานวิจัยข้างต้น ซึ่งดูเหมือนจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับไม่เพียงพอ ทำให้ทางวารสาร Archaeological Prospection ประกาศจะลงมือตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานวิจัยนี้อีกครั้งแล้ว ด้านดร.ลุฟตี ยอนดรี นักโบราณคดีของ BRIN อีกผู้หนึ่ง ออกมาแสดงการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับผลวิจัยที่ “ด่วนสรุป” ว่ากุนุงปาดังคือพีระมิดเก่าแก่ที่สุดของโลก เพราะชาวอินโดนีเซียไม่มีธรรมเนียมดั้งเดิมหรือมีวัฒนธรรมที่นิยมการสร้างพีระมิดแต่อย่างใด เขาเสนอแนวคิดทางเลือกว่า กุนุงปาดังนั้นไม่ใช่พีระมิด แต่เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างโบราณที่พบได้ทั่วไปในอินโดนีเซีย นั่นก็คือระเบียงหิน (stone terrace) หรือที่เรียกว่า “ปันเดน เบรันดัก” (punden berandak) ในภาษาท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างสกัดจากหินรูปทรงคล้ายโต๊ะเพื่อใช้ทำพิธีบวงสรวงบูชาบรรพบุรุษ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า กุนุงปาดังน่าจะเป็นระเบียงหินหลายชุดที่ตั้งอยู่ด้วยกันเท่านั้น

หลักฐานชี้มี “พุทธศาสนิกชน” ในอียิปต์ยุคโรมัน

คนทั่วไปเชื่อกันว่าดินแดน “พุทธภูมิ” ซึ่งหมายถึงพื้นที่อันเป็นต้นกำเนิดและมีผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักอยู่จำนวนมาก ในอดีตมีอาณาเขตจำกัดอยู่แค่ในทวีปเอเชียเท่านั้น แต่ปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวต้องสั่นคลอน หลังมีการค้นพบหลักฐานที่ยืนยันว่า มีชุมชนชาวพุทธในทวีปแอฟริกา ณ เมืองท่าสำคัญของอียิปต์เมื่อกว่าสองพันปีก่อน ทีมนักโบราณคดีนานาชาติ นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบันวิจัยในสหรัฐฯ รวมทั้งศูนย์โบราณคดีภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนของโปแลนด์ (PCMA) แถลงว่าได้ค้นพบพระพุทธรูปอายุเก่าแก่ราว 1,900 – 2,000 ปี ขณะตรวจสอบซากวิหารโบราณของเมืองเบเรนิเก (Berenike) หรือเบเรนิซ (Berenice) ซึ่งเป็นเมืองท่าริมฝั่งทะเลแดงของอียิปต์ พระพุทธปฏิมาดังกล่าวอยู่ในปางประทับยืน มีความสูง 71 เซนติเมตร สลักขึ้นจากหินอ่อนเมดิเตอร์เรเนียน พระหัตถ์ซ้ายกุมจีวร ส่วนพระเศียรมีรัศมีเป็นแฉกคล้ายแสงอาทิตย์ และมีดอกบัวประดับอยู่ข้างองค์พระด้วย ทำให้มีลักษณะคล้ายกับศิลปะคันธารราฐ (Ghandara) ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก นับเป็นพระพุทธรูปองค์แรกที่ถูกค้นพบในซีกโลกตะวันตกที่อยู่เลยเขตแดนของประเทศอัฟกานิสถานออกไป ทีมนักโบราณคดีเชื่อว่า ช่างแกะสลักในเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์อาจเป็นผู้สร้างพระพุทธรูปนี้ เพื่อให้ชุมชนของพ่อค้าอินเดียที่ลงหลักปักฐานในเมืองเบเรนิเกได้นำไปบูชา นับเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่ามีพุทธศาสนิกชนอยู่ในอาณาจักรอียิปต์โบราณ ทั้งยังแสดงถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียกับอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่อียิปต์อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน ก่อนหน้านี้มีการค้นพบศิลาจารึกภาษาสันสกฤต และไหบรรจุเม็ดพริกไทยจากอินเดียอายุเก่าแก่ 1,900 ปี ที่เมืองเบเรนิเกมาแล้ว โดยเรือที่มาจากอินเดียจะนำสินค้าจำพวกเครื่องเทศ หินกึ่งมีค่า ผ้าไหม และงาช้าง มาจำหน่ายที่เมืองท่าแห่งนี้เป็นประจำ จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไปในช่วงปี ค.ศ. 600

โรงละครที่จักรพรรดินีโรใช้แสดงคอนเสิร์ต

ผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันโบราณที่มีชื่อเสียงในเรื่องความบ้าบิ่นมากที่สุด เห็นจะไม่มีใครเกินจักรพรรดินีโรหรือเนโร (Nero) อย่างแน่นอน เพราะเขาคือหนึ่งในผู้นำที่มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งกล้าแสดงทักษะความเป็นศิลปินในตัวออกมาอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พิเศษไม่เหมือนใคร อย่างเช่นที่เล่าลือกันมาว่า นีโรเฝ้ามองกรุงโรมที่กำลังมอดไหม้ในกองเพลิง ระหว่างที่ดีดเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคลอไปด้วย แม้ตำนานดังกล่าวอาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะเริ่มมีการค้นพบหลักฐานใหม่ที่ชี้ว่า จักรพรรดิพระองค์นี้มีจิตใจเมตตาต่อประชาชนยิ่งกว่าที่ฝ่ายศัตรูได้เขียนบิดเบือนประวัติศาสตร์เอาไว้ แต่ความเป็นศิลปินผู้มีอารมณ์สุนทรีย์อยู่เสมอของนีโรนั้น ไม่อาจปฏิเสธได้โดยง่าย เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานยืนยันที่เป็นรูปธรรมหลายชิ้น รวมถึงโรงละครที่นีโรใช้ “แสดงคอนเสิร์ต” โชว์น้ำเสียงอันไพเราะเป็นบทเพลงขับกล่อมพลเมืองชาวโรมันด้วย โรงละครดังกล่าวเป็นเวทีส่วนตัวที่สร้างขึ้นในสวนของ “อะกริปพีนา” (Agrippina) มารดาของจักรพรรดินีโร ซึ่งสวนนี้ตั้งอยู่ในบริเวณของคฤหาสน์หรูชานกรุงโรม ใกล้กับพื้นที่ของนครรัฐวาติกันในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้นักโบราณคดีไม่ทราบถึงที่ตั้งของเวทีดังกล่าว แม้นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันโบราณหลายรายจะได้จดบันทึกถึงสถานที่แห่งนี้เอาไว้ อย่างเช่นที่ทาซิตุส (Tacitus) ได้ระบุว่า นีโรเคยขับขานบทเพลงเกี่ยวกับการล่มสลายของกรุงทรอย ระหว่างที่เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในกรุงโรม เมื่อปีค.ศ. 64 ณ “โรงละครที่ก่อขึ้นด้วยอิฐในสวนของอะกริปพีนา” ผลการขุดค้นซากโครงสร้างยุคโรมัน ที่หลงเหลืออยู่ในสวนสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนซองส์แห่งหนึ่ง พบว่ามีโรงละครที่ลักษณะตรงกับคำบรรยายที่ระบุไว้ในประวัติศาสตร์ โดยเป็นเวทีซึ่งมีที่นั่งของผู้ชมวางเป็นรูปครึ่งวงกลมกว้าง 42 เมตร พร้อมทั้งมีพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ประกอบด้วยทางเข้าออกและบันได และยังมีอาคารอีกแห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่เก็บฉากและเสื้อผ้าของศิลปินนักแสดงด้วย มีร่องรอยการประดับตกแต่งโรงละครนี้อย่างหรูหรา ด้วยหินอ่อนสีขาวและแผ่นทองคำ เนื่องจากสิ่งก่อสร้างนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอาคารขนาดใหญ่ ที่จะช่วยประกาศศักดาและเชิดชูเกียรติของจักรพรรดินีโรให้แผ่ไพศาลนั่นเอง

แผ่นกระดาษจากหนังสือเล่มแรกของโลก

กระดาษพาไพรัส (papyrus) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อของกระดาษปาปิรุส คือวัสดุที่ชาวอียิปต์โบราณใช้วาดภาพและเขียนตัวอักษรของเอกสารต่าง ๆ ซึ่งในปีนี้มีการค้นพบชิ้นส่วนพาไพรัสขนาด 10 X 6 นิ้ว ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าสองพันปี โดยมีร่องรอยบ่งชี้ปรากฏอยู่ว่า มันน่าจะเป็นแผ่นกระดาษหน้าหนึ่งจากหนังสือเล่มแรกของโลก ทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกราซของออสเตรียระบุว่า อันที่จริงมีการค้นพบแผ่นกระดาษพาไพรัสนี้ครั้งแรก เมื่อกว่าร้อยปีก่อนตั้งแต่ ค.ศ.1902 ที่เมืองเอลฮิเบห์ (El Hibeh) ในประเทศอียิปต์ แต่เพิ่งจะสืบทราบถึงประวัติความเป็นมาของมันได้อย่างชัดเจนเมื่อไม่นานมานี้ ชิ้นส่วนของแผ่นพาไพรัสดังกล่าว เคยเป็นหน้าหนึ่งของหนังสือที่เย็บรวมเอกสารหลายชิ้นเข้าด้วยกัน โดยหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาว่าด้วยอัตราการจัดเก็บภาษีสำหรับเบียร์และน้ำมันเป็นหลัก ทำขึ้นด้วยการใช้หมึกดำเขียนเป็นตัวอักษรกรีก เมื่อราว 260 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2,283 ปีมาแล้ว หลังอยู่ในหนังสือเล่มแรกของโลกได้ระยะหนึ่ง แผ่นกระดาษนี้ก็ถูกฉีกออก แล้วส่งเป็นจดหมายไปถึงนายอากรหรือลูกหนี้ที่ยังคงติดค้างการจ่ายภาษีอยู่ ก่อนจะมีผู้นำไปรีไซเคิลเพื่อเอากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อีกครั้ง โดยมีการวาดภาพทวยเทพลงไปก่อนนำไปห่อมัมมี่ ตามธรรมเนียมที่นิยมกันในยุคราชวงศ์ทอเลมี (Ptolemy) ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอียิปต์โบราณ ก่อนจะตกเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน ทีมนักโบราณคดีทราบว่าแผ่นกระดาษนี้มาจากหนังสือที่ถูกเย็บเป็นเล่มมาก่อน เพราะใช้กล้องจุลทรรศน์และอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบมัลติสเปกตรัม (multispectral imaging) ซึ่งสามารถเก็บรายละเอียดที่อยู่ลึกลงไปในเนื้อกระดาษได้ด้วยความคมชัดสูง เข้าช่วยค้นหาร่องรอยต่าง ๆ ที่ชี้ถึงกระบวนการออกแบบและเย็บเล่มหนังสือในยุคโบราณได้ ผลการตรวจสอบปรากฏว่า แผ่นพาไพรัสนี้มีการออกแบบวางเลย์เอาต์ (layout) ให้สามารถพับครึ่งแบ่งแยกเนื้อหาจนกลายเป็นสองหน้ากระดาษ เพื่อนำไปเข้ารวมเล่มเป็นหนังสือด้วยการเจาะรูตรงกลาง แล้วใช้วัสดุคล้ายตะปูที่ยืดหยุ่นได้มายึดเอาไว้ ซึ่งแทบไม่ต่างจากการเข้าเล่มด้วยสันหนังสือที่เป็นห่วงวงแหวนในสมัยนี้ ก่อนการค้นพบที่มาของแผ่นพาไพรัสดังกล่าว หนังสือเล่มเก่าแก่ที่สุดของโลกมาจากยุคคริสต์ศตวรรษที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น แต่หลังจากการค้นพบครั้งนี้ นักโบราณคดีได้ทราบว่าการเย็บเล่มเอกสารให้กลายเป็นหนังสือนั้น มีมานานกว่าที่เคยคิดกันอย่างน้อย 400 ปี

โครงสร้างไม้เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น

อาชีพช่างไม้นั้นอาจถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของโลก และช่างไม้คนแรกก็อาจมีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศแซมเบียในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาเมื่อหลายแสนปีก่อน เพราะในปีนี้ทีมนักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบโครงสร้างไม้อายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้นมา ถูกฝังอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำกาลัมโบ (Kalambo River) ในประเทศดังกล่าว ทีมสำรวจซึ่งนำโดยนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลของสหราชอาณาจักร พบขอนไม้ที่ประสานเชื่อมต่อกันด้วยรอยบาก ซึ่งชัดเจนว่าเกิดขึ้นจากการตัดไม้อย่างจงใจด้วยฝีมือมนุษย์ หลักฐานแวดล้อมยังทำให้พวกเขาสันนิษฐานได้ด้วยว่า ขอนไม้ที่นำมาขัดประสานกันนี้ อาจก่อขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของทางเดิน หรือฐานของโครงสร้างยกพื้นเหนือดินที่ชื้นแฉะในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำดังกล่าว ก่อนหน้านี้โครงสร้างไม้เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ถูกพบในทางตอนเหนือของอังกฤษ โดยมีอายุเก่าแก่เพียง 11,000 ปี ในขณะที่โครงสร้างไม้ซึ่งถูกค้นพบในครั้งนี้ มีอายุเก่าแก่ถึง 476,000 ปี นับว่าเก่าโบราณยิ่งกว่าต้นกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่หรือโฮโมเซเปียนส์ถึง 150,000 ปีทีมนักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้นสันนิษฐานว่า โครงสร้างไม้นี้น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเรา อย่าง Homo heidelbergensis ซึ่งน่าประหลาดใจว่า มนุษย์โบราณเผ่าพันธุ์ดังกล่าวที่ชอบอพยพโยกย้ายถิ่นฐานไปทั่ว กลับประดิษฐ์โครงสร้างไม้ที่แสดงถึงการลงหลักปักฐาน โดยตั้งบ้านเรือนและชุมชนขึ้นอย่างถาวรหรือกึ่งถาวรในสถานที่เพียงแห่งเดียว

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *